19 พฤษภาคม 2022 – ยังคงเดินหน้าสร้างความประทับใจอย่างต่อเนื่องสำหรับทาง vivo ที่หลังจากประกาศความร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ZEISS พร้อมวิจัย และพัฒนากล้องถ่ายภาพร่วมกัน ล่าสุดก็ต่อยอดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้วนั่นคือ vivo X80 Series 5G ที่มาด้วยกัน 2 รุ่นเช่นเคย ได้แก่ vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G ภายใต้สโลแกน Cinematics. Redefined.
vivo X80 5G | X80 Pro 5G โดดเด่นที่กล้องถ่ายภาพซึ่งพัฒนาร่วมกับ ZEISS (vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System) ที่อัปเกรดต่อยอดจากเดิมไปอีกหลายด้าน บนการดีไซน์แบบ Cloud Window 2.0 ที่มีเลนส์ถ่ายภาพจาก ZEISS รวมทั้งเลือกใช้กระจกครอบเลนส์ High-Transmittance Glass Lens ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งทนต่อการตกกระแทกจากความสูง พร้อมเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating ที่ช่วยลดแสงสะท้อน โดยตัวเครื่องจะนูนออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ สำหรับประมวลภาพ (ISP) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอ โดยมีกล้องตัวหลักที่ใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX866 (RGBW) ใหม่ล่าสุดในรุ่น X80 5G และเซนเซอร์ Samsung ISOCELL GNV ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งรองรับระบบกันสั่นแบบ OIS ผสานกล้องตัวที่สองแบบ Telephoto ที่รองรับระบบป้องกันการสั่นแบบ Gimbal OIS รวมถึงกล้อง Ultra-Wide โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะมีกล้องตัวที่สี่แบบ Periscope Telephoto เพิ่มเข้ามา ที่รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS และสามารถซูมภาพแบบ Optical ได้ไกล 5 เท่า และแบบ Digital ได้ไกลถึง 60 เท่า ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพที่ทำให้คุณกลายเป็นมืออาชีพได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Pure Night View ที่มากับอัลกอริธึมใหม่ จึงสามารถถ่ายภาพเวลากลางคืนได้สว่างคมชัดมากขึ้น และฟีเจอร์ 50mm ZEISS Gimbal Portrait Camera พร้อมคงเอกลักษณ์เลนส์ ZEISS อย่าง Biotar, Sonnar, Planar และ Distagon ไว้ครบครัน รวมถึงแบบใหม่อย่าง Cinematic ไปจนถึงระบบกันสั่นสำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะแบบ Active Centering OIS System และ 360° Horizon Leveling Stabilization
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์ vivo X80 Pro 5G
vivo X80 Pro 5G vivo X80 5G | X80 Pro 5G มาในแพ็กเกจแบบเดียวกัน ด้วยกล่องสีดำด้านกับผิวสัมผัสคล้ายหนังสังเคราะห์ที่ให้ความพรีเมียมเป็นอย่างดี พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้ตรงกลางอย่างชัดเจน
ชุดอุปกรณ์ในกล่องของ vivo X80 5G
โดยภายในกล่องของทัั้ง 2 รุ่น มีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 80W FlashCharge (20V/4A), สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, เคส, หูฟัง, ปลอกซิลิโคนหูฟัง, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน
vivo X80 5G มาพร้อมหน้าจอแสดงผล E5 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400×1080 พิกเซล : 388 PPI) พร้อมรองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับสูงสุดที่ 240Hz และรองรับการแสดงคอนเทนต์แบบ HDR10+ บนตัวเครื่องขนาด 164.95×75.23×8.30 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 206 กรัม
สำหรับ vivo X80 Pro 5Gมีหน้าจอแบบ 2K E5 LTPO 3.0 AMOLED 3D Curved Screen ขนาดเท่ากันที่ 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 ความละเอียดระดับ 2K WQHD+ (3200×1440 พิกเซล : 517 PPI) รองรับค่า Refresh Rate แบบปรับอัตโนมัติ (Adaptive) ที่ระดับ 1-120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับสูงสุดที่ 300Hz หรือ 1000Hz (Instantaneous), รองรับการแสดงผลสีแบบ 10-bit (1.07 พันล้านสี) และรองรับการแสดงคอนเทนต์แบบ HDR10+ พร้อมผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care และ SGS Seamless ที่ช่วยให้แสดงผลได้อย่างคมชัด และถนอมสายตาในตัว บนตัวเครื่องขนาด 164.57×75.2×9.10 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 219 กรัม
ที่ด้านบนหน้าจอมีการเจาะรูกล้องหน้าที่ตรงกลาง ความละเอียดเท่ากันที่ 32 ล้านพิกเซล (f2.45) เหนือขึ้นไปเป็นลำโพงสำหรับสนทนา พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนาเพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
โดยด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent Apps หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
และมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะเป็นเทคโนโลยี 3D Ultrasonic ที่ให้พื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า
ที่ด้านบนของตัวเครื่อง vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีข้อความ Professional Photography ที่สื่อถึงความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ พร้อม IR Blaster สำหรับใช้งานแทนรีโมตคอนโทรล และเส้นเสาสัญญาณทั้ง 2 ด้าน
ที่ด้านล่างประกอบด้วย ลำโพงเสียงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และช่องสำหรับถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Dual-Slot โดยไม่มีช่องสำหรับ microSD Card และเส้นสัญญาณที่ใกล้กับลำโพง 1 เส้น โดยไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร Xiaomi 12 Pro
ด้านซ้ายของตัวเครื่อง vivo X80 5G | X80 Pro 5G ไม่มีช่อง หรือปุ่มสั่งการใด ๆ โดยจะมีเส้นสัญญาณอยู่ 2 ด้าน
ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มปรับระดับเสียง พร้อมปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ และเปิด-ปิด เครื่อง และเส้นสัญญาณ 1 เส้น
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีฝาหลังดีไซน์พรีเมียมแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มาพร้อมกล้องถ่ายภาพจากความร่วมมือกับทาง ZEISS (vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System) พร้อมการดีไซน์แบบ Cloud Window 2.0 ที่มีเลนส์ถ่ายภาพจาก ZEISS รวมทั้งเลือกใช้กระจกครอบเลนส์ High-Transmittance Glass Lens ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งทนต่อการตกกระแทกจากความสูง พร้อมเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating ที่ช่วยลดแสงสะท้อน โดยตัวเครื่องจะนูนออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ รุ่นอัปเกรด สำหรับประมวลภาพ (ISP) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอ
โดยรุ่น vivo X80 5G มีชุดกล้องหลัง ZEISS 3 ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น
– กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX866 (RGBW) ขนาด 1/1.49 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.75, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
– กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.98, ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร, ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
– กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
สำหรับ vivo X80 Pro 5G มีชุดกล้องหลัง ZEISS 4 ตัว (Quad Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย
– กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL GNV ขนาด 1/1.3 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.57, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
– กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f3.4, ระบบซูมแบบ 5x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
– กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.85, ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom (ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ Gimbal OIS
– กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 114 องศา และระบบโฟกัสอัตโนมัติ POCO F4 GT
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
vivo X80 5G | X80 Pro 5G ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย Funtouch OS 12 เวอร์ชันล่าสุด ที่มี User Interface รูปแบบใหม่ โดยยังคงเน้นความมินิมอล เรียบหรู สบายตา และใช้งานง่าย โดยทั้งสองรุ่นมี RAM ขนาด 12GB พร้อมเทคโนโลยี Extended RAM 2.0 ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้อีก 4GB และมี ROM ความจุตัวเครื่อง 256GB ตามลำดับ ที่ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ในประเทศไทย และสามารถสแตนด์บายได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual 5G SIM)เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมตั้งค่า Home, Widgets, เปลี่ยน Wallpaper รวมถึงโทนสีของ UI เครื่องได้
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่าง ๆ และเมื่อปัดลงอีกหนึ่งครั้งจะเป็นการขยายหน้าจอ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชัน ต่าง ๆโดยผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัด เองได้ด้วยพร้อมหน้า Jovi Home ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่มีเมนู Shortcut ทางลัดสำหรับเข้าถึงการเคลียร์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ , Suggestions คำแนะนำช่วยเตือนความจำอันชาญฉลาดเกี่ยวกับสภาพอากาศ การเดินทาง และการพักผ่อนในแต่ละวัน, My Services ช่วยจัดสรรกิจกรรมให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แจ้งเตือนการดื่มน้ำ, รายงานสภาพอากาศ และแจ้งเตือนรายการบันเทิงใหม่ ๆ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้vivo X80 5G | X80 Pro 5G สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่างหลากหลาย ได้แก่ การปรับความสว่างแบบอัตโนมัติ พร้อมโหมด Eye Protection รวมถึงการปรับโทนสีได้ 3 รูปแบบ และอุณหภูมิสีของหน้าจอพร้อม Dark theme ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ
สามารถปรับค่า Refresh Rate ได้สูงสุดที่ระดับ 120Hz โดยจะช่วยให้การใช้งานต่าง ๆ ลื่นไหลกว่าเดิม โดยรุ่น vivo X80 Pro 5G จะสามารถเลือกความละเอียดหน้าจอได้สูงสุดที่ระดับ 2K WQHD+ (3200×1440 พิกเซล)รวมถึงเทคโนโลยี Visual enhancement ในการปรับแต่งสี และ contrast ของคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เปิดผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับ ให้มีความสวยงาม คมชัดทุกรายละเอียดรองรับฟังก์ชัน Always On Display สำหรับแสดงเวลา วันที่ และการแจ้งเตือนในหน้า Lockscreen พร้อมเลือกรูปแบบนาฬิกาได้หลากหลายสไตล์สามารถเลือกใช้งานปุ่ม Navigation Buttons ที่สามารถปรับตามความถนัดของผู้ใช้ หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Navigation Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
vivoShare สามารถโอนถ่ายข้อมูลทั้งหมดในเครื่องเก่าไปยังโทรศัพท์เครื่องใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกเดียว และแชร์ภาพยนตร์ หรือเพลงให้เพื่อนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) ซึ่งสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะเป็นเทคโนโลยี 3D Ultrasonic ที่ให้พื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้แน่นหนาขึ้นไปอีกขั้นด้วยฟังก์ชัน Dual Fingerprint Authentication ที่ต้องสแกนลายนิ้วมือถึง 2 นิ้วในการเข้าสู่แอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้และระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Wake) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้นvivo X80 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ส่วน X80 Pro 5G มีแบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงานแบบ Battery Saver ที่เมื่อเปิดใช้งานสัญลักษณ์แบตเตอรี่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม พร้อมสัญลักษณ์ + ที่ด้านใน พร้อมปรับการแสดงผลให้เป็น Dark theme และใช้งานอินเทอร์เน็ต 4G+
และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 80W FlashCharge ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้เร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่รุ่น X80 5G จากระดับ 1-50% ในเวลา 11 นาที และสามารถชาร์จแบตเตอรี่รุ่น X80 Pro 5G จากระดับ 1-100% ในเวลา 38 นาทีนอกจากนี้ในรุ่น vivo X80 Pro 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless FlashCharge รวมถึงฟังก์ชัน Reverse Wireless Charging สำหรับแปลงตัวเองเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นสามารถเปลี่ยนรูปแบบ Animation ได้ที่ Dynamic effect ไม่ว่าจะเป็น ไฟวิ่งรอบจอเมื่อมีสายเรียกเข้า, การเข้าสู่หน้า Home, การสแกนใบหน้า และการชาร์จรองรับฟังก์ชัน App Clone สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook, Line และ Instagram จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์